ความเห็น: 17
ยาขม
ช่วงนี้เป็นไข้หวัดตามเทรนด์ครับ เมื่อวานตัดสินใจไปหาหมอเพราะดูอาการมา 2-3 วันดูท่าว่าจะไม่หายเร็วแน่ วันนี้ก็ดูดีขึ้นแล้วครับ
เช้านี้อ่านข้อมูลใน pantip เกี่ยวกับถนนตัดผ่านทางรถไฟ ซึ่งการรถไฟถูกโจมตีว่าจะให้ต้องตายอีกมากเท่าใดจึงจะต้องทำไม้กั้น ก็พบว่ามีทางลักผ่านคือชาวบ้านสร้างทางตัดขึ้นมาเอง ทางผ่านที่มีป้ายเตือน ทางผ่านที่มีไม้กั้น หลายประเภท แต่สิ่งที่ต้องกล่าวถึงคือวินัยการเคารพกฎของพวกเราเอง เพราะมีข้อมูลว่า (รูปแสดงด้วย) แม้ได้วางไม้กั้นแล้วก็ยังมีรถยนต์พยายามเล็ดลอดอ้อมผ่าน สรุปสาเหตุที่อาจมากที่สุดคือ น่าจะมาจากวินัยของเราเอง
ผมเองระยะหลังพูดตรงมาก ผมพบว่าการพูดให้กำลังใจส่วนใหญ่ไม่ช่วยให้เกิดการปรับปรุง/เปลี่ยนแปลง การให้ยาขมอาจเป็นแนวทางที่ดีกว่าในสภาพปัจจุบัน เพราะคนรุ่น Gen Y ต่อ Gen Z เริ่มไม่ฟังผู้ที่อาวุโสกว่า ซึ่งอาจมาจากการเปลี่ยนของเทคโนโลยีอย่างก้าวกระโดด ทำให้เด็กรุ่นลูกรู้เทคโนโลยีดีกว่าพ่อแม่ ส่งผลให้เกิดแนวคิดว่าไม่ต้องเรียนรู้จากญาติผู้ใหญ่ โดยไม่สามารถแยกแยะได้ว่าเทคโนโลยีผู้ใหญ่อาจสู้ไม่ได้ แต่ทักษะชีวิตนั้นผู้ใหญ่มีประสบการณ์ที่สามารถสอนได้อย่างแน่นอน
ผมเคยมีชีวิตในภาคธุรกิจช่วงเวลาหนึ่ง การทำธุรกิจเราต้องทำอย่างมีประสิทธิภาพ ต้องดูงบกำไรขาดทุน ต้องแก้ไขปรับเปลี่ยนให้ทันเวลา การจ้างงานก็ต้องกำหนดเงินเดือนให้เหมาะสม มี incentive กันพอสมควร เพราะธุรกิจต้องอยู่ได้จากผลกำไร ซึ่งในระบบราชการไม่เคยต้องทำ
อย่างไรก็ตาม ผมมีความเห็นว่า ในอนาคตอันใกล้นี้ เราอาจเห็นการเลิกจ้างพนักงานมหาวิทยาลัยและพนักงานเงินรายได้กันมากขึ้น หากองค์กรไม่สามารถแสวงหารายได้อย่างเพียงพอ ถ้าจะว่ากันตามเกณฑ์แล้วควรเลิกจ้างพนักงานเงินรายได้ก่อน เพราะพนักงานมหาวิทยาลัยได้รับเงินสนับสนุนจากรัฐบาลอยู่แล้ว แต่.. หากพนักงานมหาวิทยาลัยด้อยสมรรถภาพ และพนักงานเงินรายได้มีประสิทธิภาพสูงกว่า องค์กรควรจะเก็บใครเอาไว้ดีครับ
ที่เรายังอยู่กันได้ เพราะใช้ระบบเครดิต เช่น คณะไปติดหนี้มหาวิทยาลัยเอาไว้ก่อน เรียกว่าไปโอดี (OD) มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยก็ไปโอดีคณะที่ร่ำรวยมีเงินเก็บต่อ แต่ในอนาคตถ้าคณะ หน่วยงานไม่สามารถเลี้ยงตัวเองได้ มหาวิทยาลัยจะช่วยเลี้ยงดูต่อได้นานเพียงใด?
ผมพูดแบบเอาความจริงมาเขียนนะครับ ศูนย์เครื่องมือวิทยาศาสตร์ ดูผลดำเนินการทุกเดือน รายได้เป็นไปตามเป้าหมายหรือไม่? สุขภาพการเงินยังดีอยู่หรือไม่? ไม่ได้บริหารแบบไม่ได้คำนึงถึงต้นทุนหรือค่าใช้จ่าย แต่เราติดตามอย่างต่อเนื่อง เราจึงต้องเน้นที่ประสิทธิภาพของบุคลากรเป็นสำคัญ เพราะเรารู้ว่าเราจะอยู่ได้ด้วยภาระงานที่เราสามารถส่งมอบให้กับลูกค้า และเราต้องทำให้ลูกค้าพึงพอใจ จะได้ใช้บริการเราต่อไปเรื่อย ๆ เราต้องง้อลูกค้า เรารักษาลูกค้าอย่างดีที่สุด และประเด็นนี้เราก็พยายามถ่ายทอดไปยังบุคลากรทุกคนว่า เราอยู่ได้ด้วย
Quality, Cost, Delivery และ Service
การเตือนกันตรง ๆ แรง ๆ บางครั้งก็เหมือนยาขม ที่มีประโยชน์และจำเป็น รักษาโรคหายได้ ซึ่งคน Gen X ต่อด้วย Gen Y ไม่ชอบแน่นอน แต่คน Gen X ต่อ Gen Y ยังไม่ค่อยได้รับโอกาสหรือประสบการณ์ในการรับผิดชอบในองค์กรสักเท่าใดนะครับ ดังนั้น จึงสามารถเปิดตำรามาแสดงวิวาทะกรรมได้อยู่เรื่อย ๆ
สุขสันต์วันสุดสัปดาห์ครับ
ผม..เอง (แมวกินยาขม)
บันทึกอื่นๆ
- เก่ากว่า « ทฤษฎีความผูกพัน: พ่อแม่ควรรู้
- ใหม่กว่า » พนักงานแบบไหน ที่ทำให้องค์กรไม่ป...
ความเห็น
![]() |
เข้าใจงานบริหารค่ะ แต่อ่านบันทึกนี้แล้ว อนาคตสงสารพนักงานเงินรายได้ศูนย์เครืองมือวิทยาศาสตร์จัง
เตรียมตัวตกงานและหางานใหม่ได้เลยค่ะ *-*
![]() |
เห็นแนวคิดแล้วสงสาร ชอบยกยอปอปั้นตัวเอง แล้วกดหัวคนอื่น คนแบบนี้ใครเล่าจะนับถือ ชอบพูดว่าให้เชื่อฟังผู้มีประสบการณ์ ขอบอกได้เลยว่า ประสบการณ์ของแต่ละคนมีไม่เหมือนกัน ไม่ใช่แค่อยู่นานก็มีประสบการณ์กว่า มันวัดกันไม่ได้หรอก มันอยู่ที่ว่ามีประสบการณ์ในเรื่องใดมากกว่ากันเท่านั้นเอง หากผู้บริหารมีแนวคิดแบบนี้ ก็ทำนายได้เลยว่าอยู่ที่ไหนก็ทำให้องค์กรนั้นเกิดความเสียหาย เพราะมักจะเอาตนเองมาเป็นบรรทัดฐาน เอาความรู้สึกตนเองเป็นที่ตั้ง ไม่ได้วัดคนจากผลการทำงานจริง แล้วจะให้ใครหน้าไหนเชื่อในการบริหารของคุณอีกล่ะ และโปรดอย่าคิดว่าตนเก่งเพราะผลงานที่ได้นั้นคุณไม่ได้ทำมันด้วยตัวคุณเอง แต่ควรชื่นชมผู้ปฎิบัติงานที่พวกเขาเหล่านั้นสามารถสร้างชื่อเสียงให้ศูนย์เครื่องมือ
![]() |
จำเป็นหรือไม่ที่ต้องเชื่อผู้อาวุโสเพียงเพราะด้วยอาวุโสกว่าเสมอไป
เพราะถ้าต้องฟังหรือทำตามผู้มีอาวุโสในเรื่องที่ผิด ๆ ตลอด คนรุ่นไหม่ก็ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นหรือทำตามเจตนารมณ์ของสายเลือดคนรุ่นใหม่ได้ หากเป็นเช่นนั้นสังคมหรือประเทศก็จะไม่เกิดการพัฒนา ไม่เกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ในทางกลับกันสังคมก็จะถอยหลังลงคลอง หากท่านลองปรับทัศนคติที่จำกัดอยู่ภายในกะลา ท่านก็จะทราบว่าโลกปัจจุบันนี้ให้อิสระและเสรีภาพทางความคิดของคนทุกเพศทุกวัยกันอย่างเสมอภาค
หากผู้อาวุโสกว่า ชี้นำไปในทางที่ไม่เหมาะสมหรือไม่สมควร เพียงท่านอ้างว่าท่านมีความรู้ ประสบการณ์มากกว่า เชื่อเพียงแต่ตัวเอง โดยไม่รับฟังเสียงของผู้อื่น แล้วผู้อื่นต้องทำตามทุกเรื่อง สังคมคงสุ่มเสี่ยงต่อความล้มเหลวเพราะน้ำมือผู้อาวุโส เรื่องบางเรื่องที่ท่านคิดว่าถูกต้องแล้ว ดีแล้ว บางครั้งบางที อาจผิดหรือไม่ดีก็ได้ หากเรื่องไหนที่มีเหตุผลรองรับอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง หรือเป็นสิ่งถูกต้องดีงาม ย่อมเป็นสิ่งที่ผู้ด้อยอาวุโสควรฟังผู้อาวุโสกว่าอยู่แล้ว หากแต่เพียงแค่ท่านลองเปิดใจยอมรับและเปิดใจ ท่านก็จะเข้าใจ
![]() |
เห็นแนวคิดของท่านเกี่ยวการจ้างพนง.ทำให้เข้าใจแนวคิดของท่านคนธรรมดา เข้าใจสิ่งที่อยู่ในหัวคิด แล้วท่านไม่คิดจะจ้างข้าราชการสักหกเดือนบ้างหรือ หากยังทำงานไม่ดีก็ปลดให้เป็นภารโรง เริ่มจากตัวของท่านเป็นคนแรกเลย มีผู้บริหารที่คิดได้เพียงเท่านี้ไม่มีหัวคิดด้านบวก สงสารม.อ.แทน
อ่านบันทึกนี้แล้วเข้าใจได้เลยว่าทำไมผู้บริหารจึงมักจะไม่ใช้เวทีแบบนี้แสดงความคิดเห็นนะคะ คนที่เห็นขัดแย้งมักจะไม่ยอมแสดงตัวตนที่ชัดเจน
![]() |
ไม่จำเป็นหรอกในเรื่องของการแสดงตัวตน แค่แสดงแนวคิดที่แตกต่างก็แค่นั้นเอง ท่านก็ต้องการแสดงความคิดเห็นของท่าน เราก็แสดงความคิดเห็นของเรา หากท่านไม่พึงพอใจในการแสดงแนวคิดนั่นก็แสดงให้เห็นว่าท่านไม่รับความคิดของคนที่เห็นต่าง นอกจากความคิดของคนกลุ่มเดียวกัน
หลังจากอ่านมาถึงประโยคท้ายๆ บายศรีอ่านแล้วน้ำตาจะไหล
ตรงที่คุณลุงคนธรรมดาเขียนว่า เราต้องง้อลูกค้า รักษาลูกค้าอย่างดีที่สุด
หากคุณลุงคนธรรมดา จะง้อ และรักษาพนักงานทั้งที่อยู่ และที่กำลังจะจากไปด้วยเหตุผลใดๆบ้าง ก็คงจะวิเศษมาก
วันที่บายศรีเข้าไปยื่นใบลาออก คุณลุงนั่งทำงานไม่วางมือฟังบายศรีแบบตั้งใจเลย ไม่สอบถามบายศรีเพิ่มเติมเลย
บายศรีน้อยใจนะ อยู่ทำงานกันมาก็นานพอให้ผูกพันกัน ถ้าที่ศูนย์เป็นองค์กรใหญ่ ที่ผู้บริหารแทบจะไม่ได้เจอพนักงานบายศรีจะไม่รู้สึกแบบนี้เลย แต่ท่านบอกกับพนักงานทุกคนเสมอว่าให้อยู่กันแบบพี่น้อง แล้ววันที่น้องหายไปสักคน ท่านจะรู้สึกยินดี หรือใจหายกันแน่นะ บายศรีถามตัวเองแบบนั้น
บายศรีอยากเสนอความเห็นว่า การรักษาลูกค้าเป็นแนวความคิดที่ทุกหน่วยงานบริการต้องการรักษาไว้อย่างดีที่สุดทุกหน่วยงานอยู่แล้ว แต่จะมีกี่หน่วยงานที่ผู้บริหารจะเห็นความสำคัญพนักงานเป็นที่1 เชื่อไหมคะว่าหากผู้บริหารดูแลพนักงานอย่างให้ความสำคัญ ถูกต้อง เหมาะสมแล้ว ความรักที่ท่านมอบให้ ความไว้ใจที่ท่านส่งถึงมายังพวกเรา มันจะส่งจากเราไปหาลูกค้าเอง เพราะความสบายใจ ความสุข มันส่งถึงกันได้
แต่ถ้าหากท่านว่าความเห็นนี้ทำยาก หรือทำไม่ได้ เพราะไม่ตรงกับวิธีของท่านแล้ว ไม่เป็นไรค่ะ เพราะนี่คือความเห็นของพนักงานเพียง 1 คนเท่านั้น ที่อยากให้ผู้บริหารรักและให้ความสำคัญ เช่นเดียวกับการรักษาลูกค้าค่ะ
ผมเองก็งงกับน้องบายศรีมากเลยนะ คับอกคับใจอะไรก็ไม่บอก อยู่ ๆ ก็มาบอกว่าขอลาออกแบบกระทันหัน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ก็ไม่มีวี่แววความไม่พึงพอใจปรากฎให้เห็น รวมทั้งยินดีที่จะเป็นประธามทีม KM ให้ด้วย
ก็คงเป็นความผิดผมเองส่วนหนึ่งที่ไม่ได้แสดงกิริยาที่ดีในวันนั้น แต่เหตุผลที่น้องบายศรีขอลาออกมันเป็นเหตุผลที่ขอไปเรียนต่อและเป็นเหตุผลจากทางครอบครัวซึ่งผมไม่สามารถกล่าวรั้งตัวไว้ได้ หากเหตุผลที่ลาออกเป็นเหตุผลอื่นด้านการทำงานผมก็คงจะชี้แจงและคุยต่อ
ผมจำไม่ได้นะว่าผมใช้ smart phone ทำอะไรอยู่ตอนนั้น อาจใช้เครื่องคิดเลขหรืออะไรสักอย่าง ไม่แน่ใจว่ากำลังตรวจข้อสอบอยู่หรือไม่ครับ
ผมแคร์น้องบายศรีนะ ผมเชื่อว่าบายศรีเป็นคนดี แต่ผมก็ไม่เข้าใจสิ่งที่น้องบายศรีแสดงออกในช่วงเวลานั้นจริง ๆ
ผมรักษาบุคลากรที่ดีนะครับ แต่ไม่รั้งหากมีทางเดินชีวิตที่ดีกว่า
![]() |
กรณีนี่นี้...ผลลัพท์และกาลเวลาน่าจะเป็นเครื่องชี้วัดได้ว่า
ผู้บริหารมีมิจฉาทิฏฐิ - มาตรฐานสูงเกินเหตุ - อยากให้หมาออกลูกเป็นเสือ(ราชการทำงานเหมือนเอกชน)
หรือว่า...ผู้ใต้บังคับบัญชาบางส่วนประสิทธิภาพต่ำ - ชินกับ Comfort Zone - ท่าดีทีเหลว - ขุนไม่ขึ้น ถมไม่เต็ม
หรือว่า...เป็นด้วยทั้งสองกรณีสอดผสานกันในอัตราส่วนที่เกินกว่าจะคาดเดา
อยากให้ลองพิจารณากรณีศึกษา...กองอาคารสถานที่ - คณะเศรษฐศาสตร์เกษตร - ศูนย์คอมพิวเตอร์ - สำนักทะเบียนและวัดผล
ส่วนเรื่อง Gen-X Gen-Y ขอละไว้ในฐานที่(ไม่ค่อยอยากจะ)เข้าใจ
;)~~~
![]() |
พอลล่าเป็นลูกน้องปรเะเภทชอบยาหวานค่ะ สมัยก่อนทำงานรับใช้อาจารย์แบบถวายหัวเพราะยาหวานที่อาจารย์ให้ค่ะ
พอลล่าคิดว่าก้อนน้ำแข็งที่เป็น tacit knowledge ที่ซ่อนอยู่ในลูกน้องทุกคนจะถูกนำมาใช้เพื่อพัฒนาองค์กร ถ้าเราใช้ยาหวานที่เรียกว่า การบริหารกำลังใจ ค่ะ อย่าน้อยใจความเห็นต่างนะค๊ะ
ต้องขอโทษหากความเห็นทำให้ผู้ที่มาออกความเห็นรู้สึกขัดใจนะคะ แต่ที่ออกความเห็นไว้นั้น เพราะคิดว่าถ้าผู้บริหารสื่อสารแบบนี้แล้วเราไม่เห็นด้วย เราน่าจะสื่อสารได้โดยตรงให้รู้ว่าเราคือใคร คิดอย่างไร (หากคิดว่าสิ่งที่เราคิดถูกต้องก็ไม่น่าจะต้องกลัวที่จะแสดง หากเอามาเขียนแบบไม่แสดงตัวได้ ก็น่าจะทำให้รู้แบบแสดงตนได้นะคะ) เหมือนที่น้องบายศรีบอกเล่านี่แหละค่ะ เพราะหากเราคิดเองโดยไม่สื่อสารโดยตรงกับผู้ที่เราต้องทำงานด้วย เราอาจจะเข้าใจกันคลาดเคลื่อนได้
วิธีคิดและองค์ประกอบในการคิดขอคนเราในตำแหน่งต่างๆนั้นต่างกัน เราจะไม่มีทางเข้าใจได้เลยว่าแต่ละคนคิดอย่างนั้นเพราะอะไร แต่การสื่อสารสองทาง (คือรู้ตัวตนกันและกัน) จะช่วยให้เราเข้าใจและยอมรับกันได้ อาจจะทำให้มีความสุขในการทำงานมากขึ้น ไม่ต้องจำยอมด้วยความไม่เข้าใจ
ขออนุญาตแสดงความเห็นในฐานะคนนอกที่อยากเห็นคนไทยสื่อสารในที่แจ้ง แสดงออกเมื่อมีความต้องการในทางที่ถูกต้อง เพราะเท่าที่ผ่านมาที่เห็นก็คือ คนไทยมักจะเงียบในที่ประชุม เมื่อมีสิทธิ์ออกความคิดเห็น แต่พอเลิกประชุมก็มาบ่นโน่นนี่นั่นต่อข้างนอก ซึ่งนอกจากจะไม่ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการแล้ว ยังไม่ได้คำอธิบายที่อาจจะทำให้กระจ่างขึ้นหากพูดให้ถูกที่ด้วย
Polla ชอบยาหวานผมก็เข้าใจนะครับ แต่ยาหวานอาจไม่สามารถแก้จุดบกพร่องที่อยู่ในตัวของแต่ละบุคคลได้ ผมยอมรับในวิธีแสดงออกของ polla ได้น่ะ เช่นผมเขียนคำว่า "สายพันธ์" ผิด พอลล่าบอกผมว่าควรแก้เป็น"สายพันธุ์" พร้อมหลักฐาน ผมก็ขอบคุณที่ช่วยดูให้น่ะ แต่ก็นะ ผมให้หนังสือ polla ไปอ่านเล่มหนึ่งด้วยความหวังดี แต่พอลล่าก็นำมาคืนพร้อมบอกว่า"ไม่กล้าอ่าน" ผมก็เข้าใจน่ะ
แต่ละบุคคลก็มีการ"เปิดใจ"ไม่เท่ากัน ผมก็คงจะใช้มาตรการที่ไม่เหมือนกัน เพราะไม่มีวิธี one size fit all หรอกนะครับ
![]() |
:-). อาจารย์ความจำดีจังค่ะ พอลล่าจำไม่ได้เลย
เอาเป็นว่าที่ผ่านมาเพราะอาจารย์ใช้ยาหวานกับพอลล่า พอลล่าถึงชอบทำงานและได้เรียนรู้และได้ปรับปรุง
และบอกเจ้านายใหม่ทุกคนว่าภูมิใจที่เคยทำงานที่ศูนย์ค่ะ ชอบที่ผอ.มีวิสัยทัศน์ ได้ทำงานสนุกมากมาย :-). จำแต่ความทรงจำดีๆค่ะ
21 พฤศจิกายน 2557 23:19
#100744
บางคนมักจะเอาอายุ และความอาวุโส มาว่าคนอืน ผมไม่เถียงครับว่าท่านมีประสบการณ์มากกว่า ผ่านชีวิตมามากกว่า แต่ผู้อาวุโสบางท่านไม่ได้ทำตัวให้น่าเคารพและนับถือ บางคนมักจะเอาตัวเองมาเป็นที่ตั้งและบรรทัดฐาน ในการตัดสิน คน gen x และ gen y. ก่อนท่านจะว่าพวกเขาเหล่านั้น ท่านเคยพิจารณาตัวเองหรือเปล่า ว่าท่านได้ทำตัวให้น่าเคารพนับถือหรือไม่ ผมว่าถ้ายาขมของท่านมีเหตุและผล ผมเชื่อว่าคน gen x และ gen y ก้อพร้อมจะรับฟัง และปรับปรุงตัว แต่ถ้ายาขมของท่าน เพียงแต่เป็นความคิดที่ยึดติดเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางโดยไร้ซึ่งเหตุผล ใครเล่าจะรับฟัง ก่อนที่ท่านจะว่าผู้อื่น ท่านเคยย้อนมาดูตัวเองรึเปล่าครับว่าท่านมีเหตุผลเพียงพอแค่ไหน การจะว่าใครท่านควรจะย้อนมองดูตัวเองก่อนดีกว่านะครับ อย่าให้คนอื่นมาว่าท่านได้ว่า "แก่เพราะกินข้าว เฒ่าเพราะอยู่นาน" เพราะคน gen x และ gen y โดยส่วนใหญ่ ยังไงก้อยังนับถือผู้อาวุโสทุกท่านนะครับ