comment: 12
ซับไพร์ม คืออะไร
2-3 วันมานี้ เวลาฟังข่าวมักจะได้ยินคำว่า แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส กับ ซับไพร์ม ให้สงสัยว่ามันคืออะไรกันแน่ จึงเข้าไปค้นๆ ใน Net จึงได้หายสงสัย แฮมเบอร์เกอร์ ไครซิส หรือ วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ตีความว่า คล้ายๆ กับวิกฤตต้มยำกุ้งของไทย เมื่อปี 2540 นี่เอง อาจจะทำให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศยักษ์ใหญ่ ที่ทะนงตน ล้มครืนลงก็เป็นไปได้ แล้ววิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ของอเมริกาเกิดจากอะไร ได้คำตอบแล้วครับ เกิดจากซับไพร์มนี่เอง
ซับไพร์มคืออะไร? Sub-Prime แยกออกเป็นสองคำ
Sub = ต่ำกว่า
Prime = มาจาก Prime Rate คือ ดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี
Sub-Prime จริงๆ แล้วเป็นเพียงคำวิเศษณ์ (คำนำหน้าที่ใช้ขยายคำอื่น) แปลว่าคุณภาพเป็นรอง ขึ้นอยู่กับว่าจะนำไปขยายความอะไร เช่น หากเป็นสินเชื่อที่คุณภาพรองลงไปก็เรียกว่า Sub-Prime Loan หากเป็นสินเชื่อคุณภาพรองที่มีที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกัน เรียกกันว่า Sub-Prime Mortgage
ในสหรัฐอเมริกา Sub-Prime Loan เป็นหนี้ที่ผู้ให้กู้ปล่อยให้กับผู้กู้ที่โดยทั่วไปไม่สามารถขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินปกติได้ ผู้ปล่อยกู้เหล่านี้บางแห่งก็เป็นบริษัทอิสระ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทลูกของสถาบันการเงิน โดยผู้ให้กู้เหล่านี้ จะปล่อยกู้ให้กับผู้กู้ที่หากไปขอสินเชื่อตามปกติก็จะไม่ผ่านการอนุมัติ อาจจะเป็นเพราะสัดส่วนของกระแสเงินสด ที่จะนำมาชำระคืนหนี้ต่ำเกินไป อันอาจเกิดจากรายจ่ายสูง รายได้จึงไม่เหลือมากพอที่จะผ่อนจ่ายคืนหนี้ในสัดส่วนที่ผู้ให้กู้พอใจ
ผู้ให้กู้ในกลุ่ม Sub-Prime Loan นี้ ก็จะให้กู้โดยมีหลักเกณฑ์ที่ผ่อนคลายกว่า แต่ก็ชดเชยความเสี่ยงด้วยการคิดอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่า และอาจจะให้กู้ได้เป็นสัดส่วนที่สูงเมื่อเทียบกับหลักประกัน นอกจากนี้ หากผู้กู้ชำระคืนก่อนกำหนดก็จะเสียค่าปรับสูงกว่าด้วย ผู้ให้กู้กลุ่มนี้มักจะให้กู้แก่ผู้กู้ที่มีหลักประกันเป็นอสังหาริมทรัพย์ ดังนั้น สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยจึงเป็น Sub-Prime Loan เป็นส่วนใหญ่ เพราะมองเห็นว่า คนมักจะไม่ค่อยทิ้งบ้าน หากกู้แล้วก็มักจะต้องพยายามผ่อนส่ง และหลักประกันก็คุ้มวงเงินให้กู้ ซึ่งก็ทำให้ดูเหมือนว่าผู้ปล่อยกู้กลุ่มนี้มีความเสี่ยงไม่มากนัก
ดร. วรัญญู สุจิวรพันธ์พงศ์ ได้อธิบายการเกิด Sub-Prime ให้เข้าใจง่ายๆ บางช่วงสรุปไม่ได้เลย กลัวตัดแล้ว จะเสียอรรถรสในการอ่าน ท่านอาจารย์ว่าไว้อย่างนี้ครับ
มนุษย์ต้องการมีบ้านซึ่งเป็นปัจจัยที่ 1 เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย ปกติจะไปขอกู้เงินจากสถาบันการเงินเพื่อมาซื้อบ้าน แต่เนื่องจากบ้านมีราคาสูงเมื่อเทียบกับรายได้ มีผู้ขอกู้จำนวนมากไม่สามารถกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงินหรือธนาคารเพื่อนำไปซื้อบ้านได้ แม้ว่าจะมีหลักประกันเป็นบ้านหรือที่ดิน เนื่องจากธนาคารวิเคราะห์แล้วว่ารายได้เมื่อหักค่าใช้จ่ายของผู้ขอกู้ในแต่ละเดือนไม่เพียงพอที่จะมาจ่ายหนี้ได้
ผู้ขอกู้จะทำอย่างไร บ้านก็อยากได้ สถาบันการเงินทั้งหลายในสหรัฐอเมริกา ที่มีบริษัทลูกเลยสบโอกาสนี้ จึงมีนวัตกรรมแบบวิศวกรรมการเงิน หรือ Financial Engineering ประดิษฐ์ตราสารหนี้แบบใหม่ขึ้นมา (ตราสารหนี้ก็เหมือนใบสัญญาเงินกู้ที่สัญญาว่าจะให้ผลตอบแทนเท่านั้นเท่านี้ต่อปี) ที่ออกมารองรับช่องว่างนี้ โดยการเป็นคนกลางขายตราสารหนี้ ให้กับคนที่มีเงินเหลือใช้ หรือสถาบันการเงิน หรือคนที่ต้องการผลตอบแทนสูงๆ (หรือโลภนั่นเอง) โดยให้ผลตอบแทนที่สูงมาก เพื่อจูงใจให้คนมาซื้อตราสารหนี้ (Risk Premium) และนำเงินที่ขายได้ ไปปล่อยกู้ให้กับผู้กู้ที่ต้องการเงินไปลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูง แล้วสถาบันการเงินเหล่านี้ก็กินส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ย คำถาม คือทำไมสถาบันการเงินในสหรัฐอเมริกาถึงกล้าทำเช่นนี้ ไม่กลัวความเสี่ยงหรือ ทั้งที่วิเคราะห์แล้วว่าลูกหนี้เหล่านี้ไม่น่าจะมีปัญญาเอาเงินมาใช้หนี้ได้ คำตอบก็คือ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาได้พู่งสูงขึ้น อันเนื่องมาจากการเก็งกำไร และการขยายตัวของครอบครัวเดี่ยว (ซึ่งต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง) จึงเป็นคำตอบว่ายังไงก็ตามราคาอสังหาริมทรัพย์ที่พุ่งสูงขึ้นนี้จะมาชดเชยความเสี่ยงได้อย่างสบาย เพราะราคายังไงก็มากกว่าวงเงินกู้อยู่แล้ว และชะล่าใจว่ายังไงคนเราคงไม่ทิ้งบ้าน ไม่มีเงินก็ต้องกัดฟันผ่อนไป
จากนวัตกรรมการเงินแบบ Financial Engineering หลังจากที่ออกตราสารหนี้ประเภทซับไพร์มนี้แล้ว ก็มีสถาบันการเงินดังๆ ทั้งในประเทศสหรัฐอเมริกา และต่างประเทศ ต่างลงทุนซื้อตราสาร ที่มีหนี้เกรดสองเหล่านี้เป็นหลักประกันกันจำนวนมาก ตราสารเหล่านี้เรียกว่า ซีดีโอ หรือ Collateralized Debt Obligation (CDO) ทำให้บริษัทหรือสถาบันการเงินที่ปล่อยกู้ หนี้เกรดสองเหล่านี้ ออกตราสารมาขายโดยมีหนี้ซับไพร์มเป็นหลักประกัน (ในวงเงินไม่เต็มหลักประกัน) ที่มีดอกเบี้ยสูงขึ้นไปอีก เพื่อให้มีเงินไปปล่อยกู้เพิ่มอีก และทำแบบนี้เป็นวงจรไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นซับไพร์มของซับไพร์มไปเป็นทอดๆ ซึ่งทำให้ซับไพร์มออกดอกออกผลแตกลูกหลานเหลนโหลนอย่างรวดเร็ว
แต่ปัญหาคือ ในช่วง 4-5 ปีมานี้ ราคาอสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐอเมริกาได้เพิ่มสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว สถาบันการเงินเหล่านี้ก็แข่งกันทำตลาดด้วยการเชิญชวนผู้ขอกู้ทั้งหลาย ทั้งผู้กู้เดิม และผู้กู้รายใหม่มาใช้บริการกับตนเอง ด้วยการเสนอวงเงินกู้ที่สูงขึ้นตามราคาประเมินของบ้านที่เพิ่มขึ้น เช่น เดิมกู้ในวงเงิน 2 ล้านบาท เพื่อซื้อบ้านราคา 2.5 ล้านบาท อาจจะผ่อนไปบางส่วนจนเงินต้นเหลือ 1.8 ล้านบาท วันดีคืนดี ผู้ให้กู้ใจดีเหล่านี้ก็มาเสนอวงเงินกู้ให้ 3 ล้านบาท ตามราคาประเมินใหม่ผู้กู้ก็ไม่รังเกียจอยู่แล้วครับ เพราะได้เงินเพิ่มมาอีกตั้ง 1.2 ล้านบาท ก็ไป Refinance (ไปกู้รายใหม่มาโปะรายเดิม) มีเงินเหลืออีก หลังจากหักค่าปรับที่คืนเงินกู้ก่อนเวลา อย่างไรก็ตามชาวอเมริกันทั้งหลาย ซึ่งเคยชินกับการใช้เงินอนาคต ก็นำเงินสินเชื่ออีก 1.2 ล้านบาทที่ได้เพิ่มนั้นมาใช้จ่าย ซื้อสินค้าในชีวิตประจำวันอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น ทีวีจอแบนเครื่องใหม่ เครื่องเสียงสุดหรู รถยนต์คันใหม่ เพราะอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อที่อยู่อาศัย จะต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของบัตรเครดิต หรือสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์
อย่างไรก็ตามการเก็งกำไร ย่อมมีผู้ได้กำไร และแมลงเม่า ราคาอสังหาริมทรัพย์ในสหรัฐอเมริกาได้มาถึงจุดอิ่มตัวเมื่อปลายปี 2549 – 2550 และราคาต้องร่วงตามวัฏจักร บวกกับเศรษฐกิจอเมริกาที่เริ่มชะลอตัว เนื่องจากคนอเมริกันเป็นชนชาติที่ฟุ่มเฟือย บริโภคอะไรทิ้งๆ ขว้างๆ เปิดไฟทิ้งไว้ไม่เคยปิด หรือบริโภคเกินตัวด้วยการเอาเงินอนาคตมาใช้อยู่ประจำ ด้วยการซื้อของที่ผลิตในต่างประเทศ (เนื่องจากราคาถูกกว่า) เช่น จากประเทศจีน และประเทศต่างๆ ในเอเชีย รวมไปถึงการนำเงินงบประมาณไปทำสงคราม จนดุลการค้า และดุลบัญชีเดินสะพัดของประเทศติดลบ ซึ่งแก้ปัญหาไม่ยากด้วยการขายพันธบัตรรัฐบาลให้กับประเทศคู่ค้าของอเมริกาต่างๆ เช่น จีน หรือญี่ปุ่น ประเทศเหล่านี้ก็ซื้อ เพราะไม่งั้นแล้วหากเศรษฐกิจอเมริกาล่ม จะพาลแย่ไปทั้งหมด เนื่องจากจะขายของไม่ได้ เพราะพี่ใหญ่อเมริกาไม่มีเงิน
แต่ก็สายเกินไป จากเหตุผลที่เศรษฐกิจอเมริกันถึงคราวชอกช้ำ เงินในระบบเริ่มชอร์ต เนื่องมาจากเอาเงินในอนาคตมาใช้หมด(ด้วยอิทธิฤทธิ์บัตรเครดิต และเงินกู้) คนเริ่มไม่มีเงินผ่อนบ้านและที่ดิน แถมราคาที่ดินก็ร่วงอีก ทำให้สถาบันการเงินเริ่มรู้แล้วว่าวงเงินปล่อยกู้มันได้สูงกว่าราคาประเมินแล้ว (แปลง่ายๆ ว่าความเสี่ยงสูงกว่าผลตอบแทน) โดนไปสองเด้งสถาบันการเงินหรือบริษัทที่ปล่อยกู้มีหนี้เสียเพิ่มขึ้นแบบแทบไม่ทันกระพริบตา ก็ต้องตั้งสำรองเงินไว้ (ตามกฎที่ต้องปกป้องส่วนของเงินฝากไว้) และเข้มงวดกับการปล่อยกู้มากขึ้น (แบบวัวหายล้อมคอก) ทำให้เงินในระบบฝืดลงไปอีก จนคาดว่าจะกลายเป็นปัญหาเศรษฐกิจอเมริกาล่มสลาย เพราะว่าหมดตัวจริงๆ แถมหนี้ท่วมหัว ที่แย่อีกประการก็คือสถาบันการเงิน หรือคนซื้อตราสารหนี้ประเภทซับไพร์มทั้งแบบปู่ และแบบแตกลูกหลาน อยู่ในภาวะมืดมน มูลค่าตราสารหนี้หดลง เพราะว่ามันกำลังจะกลายเป็นเศษกระดาษในอีกไม่ช้า ทำให้ต้องกันสำรองส่วนนี้เพิ่มนอกจากขาดทุนแบบปกติแล้ว เนื่องจากเป็นการขาดทุนแบบไม่ปกติ
วิกฤติซับไพร์มรอบนี้พ่นพิษกับเศรษฐกิจโลก และเศรษฐกิจไทย อย่างแรกที่ใกล้ตัวเรา ก็คือค่าเงินบาท ตอนนี้ค่าเงินบาทแข็งเป็นหินในรอบ 10 ปี หลังจากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจต้มยำกุ้งในปี 2540 ประมาณ 33 บาทกว่าๆ และคาดว่าจะแข็งไปถึง 32 บาท ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า คนเดือดร้อน ก็คือผู้ผลิต และผู้ส่งออกที่ไม่ได้อาศัยต้นทุนการผลิตที่เป็นสินค้า หรือวัตถุดิบนำเข้าจากต่างประเทศ (เพราะว่าผู้ผลิตบางรายที่ใช้ต้นทุนวัตถุดิบจากต่างประเทศจะได้อานิสงฆ์จากค่าเงินบาทแข็ง คือ ซื้อของได้ถูกลง) แถมสหรัฐอเมริกาก็เป็นตลาดส่งออกรายใหญ่ของเราซะด้วย เมื่อราคาของแพงขึ้น (เมื่อเทียบเป็นเงินดอลล่าสหรัฐ) และคนอเมริกันมีกำลังการจับจ่ายใช้สอยน้อยลง เราก็ลำบาก เพราะว่าขายของไม่ออก ก็ไม่มีเงินเข้าประเทศ ผู้ผลิตก็ไม่กล้าขยายกำลังการผลิต หรือลดกำลังการผลิตลงไปอีก (ยังไม่ได้พูดถึงปัญหาการเมืองที่คอยซ้ำเติมอีกนะครับ) ทีนี้การจ้างงานก็ลด คนก็ขาดความเชื่อมั่น กำลังการจับจ่ายใช้สอยก็หด เศรษฐกิจก็ถอยครับ ที่แย่ไปกว่านั้นก็คือสถาบันการเงินหลายแห่งในประเทศไทย แพลมออกมาว่า ข้าพเจ้าก็กำตราสารหนี้ประเภทซับไพร์ม ซีดีโอ ไว้หลายใบเหมือนกัน แบบนี้ก็แปลว่าสถาบันการเงินจะขาดทุน ต้องกันสำรอง และทำให้ปล่อยกู้ได้ไม่มากในภาวะที่ต้องกระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้
ปัญหาแบบเดียวกับไทยนี้ กำลังลามไปหลายประเทศที่เป็นคู่ค้า และเจ้าหนี้ของสหรัฐอเมริกา เช่น จีน ญี่ปุ่น ฯลฯ อาจจะต่างกันที่ปัญหาค่าเงิน เพราะว่าบางประเทศเช่น จีน ผูกค่าเงินหยวนกับเงินดอลล่าห์สหรัฐ ทีนี้ถ้าเป็นดังที่คาดการณ์ไว้ แปลว่าทุกประเทศต้องชะลอกำลังการผลิต เพราะว่าพี่ใหญ่ใจดี ไม่มีเงินแล้ว ก็จะกระทบกับเศรษฐกิจในประเทศแบบวงจรข้างต้น เว้นแต่ว่าประเทศนั้นจะมีฐานเศรษฐกิจภายในประเทศที่แข็งแกร่งก็จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า ผลกระทบนี้อาจจะทำให้การค้าระหว่างประเทศชะลอตัว เศรษฐกิจโลกก็ชะงัก
หมายเหตุ : เศรษฐกิจอเมริกากำลังล่มสลาย ประธานาธิบดีบุช ถึงกับออกมาตรการลด ภาษีกันมโหฬาร คนจะไปอเมริกาหรืออยู่อเมริกา ต้องระวังให้มากๆ ครับ โดยเฉพาะเงินในกระเป๋า
ที่มา :
http://www.vcharkarn.com/varticle/34617/2
http://www.thaihomemaster.com/showinformation.php?TYPE=1&ID=1255
มติชนสุดสัปดาห์ 25-31 ม.ค. 51 หน้า 103
บันทึกอื่นๆ
- เก่ากว่า « Wavepad - ตัดเพลงเข้ามือถือ
- ใหม่กว่า » มหัศจรรย์ของเลขฐาน 10
comment
หลังจากที่ได้อ่านแล้ว พบว่า ระบบเศรษฐไทย เลียนแบบอเมริกา เป๊ะเลย.. เดี๋ยวนี้บัตรเครดิต ระดับล่าง เกลื่อนเมืองเลย.. สมัยก่อนกว่าจะได้มาซักใบเลือดตาแทบกระเด็น..
- วิธีการเหมือนกัน แต่วินัยของคนไม่เหมือนกัน หนี้คนไทยเลยเพิ่มขึ้นมากมาย
- ระบบอะไรที่ว่าดี มาใช้ในเมืองไทยล้มเหลวไม่ท่า เพราะคนไทยเก่งนักเรื่องพลิกแพลง
นู๋ตาลมีวินัยในการใช้เงินพอควร (ยอตัวเอง แต่ก็ตรวจสอบได้จากการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ที่ได้รับโปรแกรมนี้มาจากใน share PSU นี้แหละ) หวังว่าจะช่วยให้ตัวเองอยู่ได้ท่ามกลางวิกฤตเศรษฐกิจแฮมเบอร์เกอร์
@^_^@ ขอให้โลกสงบสุข
ดูท่า นู๋ตาล ใช้จ่ายเงินเป็น รู้คุณค่าของเงิน คงสามารถฝ่าวิกฤตต่างๆ ไปได้ครับ
คุณCutie Garn ต้องยอมรับว่าปัจจุบัน เมืองไทยเรา โจรชุมจริงๆ ขณะตำรวจเองยังเป็นโจรเลย ดังนั้นต้องระวังตัวเองด้วย นะครับ
คุณmandala คนไทยก็มีดีหลายอย่างที่ฝรั่งไม่มี เช่น รอยยิ่มที่จริงใจ เหมือนคุณนั่นแหล่ะ 555
คุณ คนธรรมดา (^_^)
รบกวนคะ อยากรู้อะ ว่า ทำงายให้มีเพลงทุกบันทึก ตอนนี้รู้แต่วางไว้ที่บล็อก ตามที่คุณสุริยา สอนไว้
บันทึกของคุณ mbunsong เปลี่ยนเพลงทุกบันทึกเลยอะ อยากทำมั่ง สอนหน่อยได้อ๊ะปล่าว....
ขอบคุณล่วงหน้า
ปัญหา Sub-Prime ในอเมริกา เกิดจากจากปล่อยกู้อสังหาริมทรัพย์ให้กับลูกหนี้ด้อยคุณภาพค้าบ
ซึ่งคนที่กำลังแก้สถานการณ์ตอนนี้ คือ FED หรือ ธนาคารกลางของสหรัฐนั่นเอง
![]() |
จะเอาไปสอบพรุ่งนี้อ่ะคะ แต่ก็ยังงงอยู่นิดๆ เอาเป็นว่าจะยึดหลักของพี่ละกันนะคะ
ปล. โอ๊ย ยังไม่ได้นอนเล๊ยยยย
คุณ นัน ข้อสงสัยนี้ขอคุยทาง MSN นะครับ แจ้งไปทางอีเมล์แล้วครับ
คุณ ยามเฝ้าshare เก่งจริงนะ ตัวแค่นี้ (^_^)
คุณ voodoo 555 ไม่รู้เป็นใคร ขอให้โชค A ในการสอบ นะครับ ถ้าข้อมูลมีประโยชน์...บ้าง
![]() |
อาจมาตอบช้าสุด หลังเพื่อน แต่ยังไงก็ขอบคุณสำหรับบทความ
และความรู้ดีๆนะครับ
27 มกราคม 2551 09:56
#17005