ความเห็น: 6
คุณอัศวินที่ขี่ม้าขาวมาช่วย...ทุกครั้ง
หลายๆ ครั้งในการใช้ชีวิต การทำงาน...เวลาท้อ เวลาเครียด เวลาออกจากวังวนอะไรไม่ได้....อัศวินที่ขี่มาขาวมาช่วยทุกครั้งดูเหมือนจะเป็นคุณ...."คิดบวก" นี่หล่ะคะ
คิดบวกได้กำไรเห็นๆ ที่เห็นเลยคือได้ 2 ขีด (- ขีดเดียว, + สองขีด)
ดิฉันอ่านบทความของคุณเบิร์ดคนเขียนบันทึกที่ดิฉันชื่นชอบอีกคนใน gotoknow.org หลายวันก่อนจึงส่งอีเมลไปขออนุญาต นำบทความเรื่องคิดบวกของเธอมาแปะไว้ให้...ชาว share ของเราได้เห็น สำนวนและลีลาของเธอ....วันนี้เธอตอบอนุญาตมาแล้วจึงขอนำมาลงให้อ่านกันค่ะ
.............................................
ความคิดเชิงบวก ( Positive thinking ) สำคัญไฉน ?
ในชีวิตคนเรานั้นความคิดเชิงลบจะเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ง่ายกว่าความคิดเชิงบวกเยอะค่ะ เพราะธรรมชาติของมนุษย์จะพร้อมที่จะมองเห็นความบกพร่องมากกว่ามองเห็นข้อดี...ทำให้เราถนัดที่จะตำหนิ กล่าวโทษเรื่องราว คน และสถานการณ์ต่างๆ กรรมหรือแม้กระทั่งตัวเราเอง ! ..เพราะง่ายและชินมากกว่าที่จะมองให้ลึกขึ้นอีกระดับหนึ่ง
“ ความคิดเชิงบวก “เป็นสิ่งที่ต้องอาศัยมุมมองและการคิดที่ลึกซึ้งกว่าเชิงลบมากมายนักค่ะ ไม่ใช่เป็นการคิดชั้นเดียวจากการเห็นแล้วสรุปความเลยว่าสิ่งนั้นไม่ดี แต่ต้องเกิดจากมุมมองที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น(โดยเฉพาะเรื่องไม่ดี ไม่ถูกใจ) ย่อมมีประโยชน์หรือความดีแฝงอยู่ด้วยเสมอ...
ดังนั้นการมองโลกเชิงบวก ( positive thinking ) จึงหมายถึงการมองสิ่งต่างๆอย่างเข้าใจ ยอมรับได้ในด้านลบมองปัญหา ความทุกข์ ความไม่ราบรื่น ความไม่ถูกใจว่าเป็นเรื่องธรรมดา และรู้จักเลือกใช้ประโยชน์จากด้านบวกที่แฝงอยู่จากสิ่งนั้นๆ ได้ เพราะเหตุการณ์บางอย่าง เราไม่สามารถเลือกได้ว่าจะให้เกิดหรือไม่ให้เกิด แต่เมื่อเกิดขึ้นไปแล้ว เราสามารถเลือกได้ว่าจะมองและรู้สึกกับมันอย่างไรค่ะ...
มาดูหลักการมองโลกเชิงบวกแบบตามใจฉัน ( อีกเหมือนเดิม ) กันค่ะ
บันไดขั้นที่ 1 : มองตัวเองว่าดี
การที่คนเราจะมองโลกหรือมองคนอื่นในแง่ดีได้ ต้องมาจากพื้นฐานที่มองและเชื่อว่าตัวเองดีเสียก่อนนะคะ ขั้นตอนเพื่อการมองตัวเองว่าดี มีดังต่อไปนี้ค่ะ
- หาข้อดีของตนเอง ลองสำรวจพิจารณาข้อดีของตนเอง (ไม่ใช่การเข้าข้างตัวเองนะคะ) อาจเป็นความดีเล็กๆน้อย เช่น พาคนแก่ข้ามถนน ช่วยลูกนกที่ตกต้นไม้ ฯลฯ เพื่อให้เกิดความรักและความภาคภูมิใจในตัวเองไงคะ
- ถ่อมตัว การมองเห็นว่าความดีของตนเองนั้นมีไว้เพื่อบอกตัวเราเองให้เกิดความพอใจในตัวเอง รักตัวเอง แต่ไม่ใช่เพื่อข่มหรือคุยทับคนอื่น การถ่อมตัวจึงเป็นอีกคุณสมบัติหนึ่งที่พึงจะมีควบคู่กัน ค่ะ
- นอกจากจะรู้จุดแข็ง(ข้อดี)แล้ว ยังควรต้องสำรวจจุดอ่อนของตนเองด้วยนะคะ เพราะเมื่อเรายอมรับได้ว่านั่นคือข้อบกพร่องของเราจริงๆ ก็จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ในที่สุด
- เพิ่มความดี แม้จะรู้ว่าตนมีข้อดีในด้านใดบ้าง ก็ไม่ควรหยุดตัวเองไว้เพียงเท่านั้นค่ะ แต่ควรเพิ่มคุณสมบัติอื่นๆที่ดีให้มากยิ่งขึ้น อาจเริ่มต้นโดยการตั้งเป้าหมายเป็นข้อๆว่าอยากจะทำอะไรดีๆเพิ่มขึ้นบ้างแล้วค่อยๆฝึกฝนไปทีละข้อ งานนี้เป็นการเพิ่มความภาคภูมิใจในตนเองให้มากขึ้นได้ด้วยนะคะ
บันไดขั้นที่ 2 : มองคนอื่นว่าดี
เมื่อผ่านบันไดขั้นแรกมาแล้ว จะทำให้เราเริ่มตระหนักว่าคนทุกคนล้วนแต่ไม่สมบูรณ์ ย่อมมีข้อบกพร่องมากน้อยแตกต่างกันออกไป เพราะแม้แต่ตัวเราเองก็ยังมีข้อเสียนี่คะดังนั้น การมีชีวิตที่มีความสุขจึงหมายถึงการอยู่ร่วมกันโดยเลือกมองและใช้ประโยชน์จากความดีที่ผู้อื่นมีอยู่ โดยไม่ใช่การเสแสร้ง แกล้งทำนะคะ แต่เรามองเห็นความดีของเขาจริงๆ
บันไดขั้นที่ 3 : มองสิ่งที่เหลืออยู่ ไม่ใช่สิ่งที่ขาดหาย
เมื่อเกิดปัญหาหรืออุปสรรคต่างๆขึ้น ลองมองความทุกข์หรือปัญหานั้นเป็นเรื่องธรรมดานะคะ เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นไปแล้วย่อมกลับไปแก้ไขไม่ได้ แต่เราสามารถนำมาพิจารณาได้ว่าในวิกฤติที่เราพบนั้นมีข้อดีอะไรแฝงอยู่หรือจะใช้ประโยชน์จากปัญหานั้นได้อย่างไรบ้าง เช่นผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งรู้สึกว่า รักตัวเองมากขึ้น เลิกทำอะไรไร้สาระ แล้วหันมาให้ความสำคัญกับการพัฒนาจิตใจมากขึ้น เช่น ฝึกสมาธิ ช่วยเหลืองานการกุศล เป็นต้น
บันไดขั้นที่ 4 : หมั่นบอกตัวเอง
ขึ้นชื่อว่าเป็นความคิดส่วนใหญ่ก็มักจะอยู่กับเราไม่นานหรอกค่ะ
(ถ้าไม่คิดซ้ำๆวนเวียนด้วยเหตุด้านลบเช่นความโกรธความกังวล ความไม่พอใจต่างๆ ฯลฯ เป็นส่วนใหญ่นะคะ ) แต่ความคิดก็มักเป็นต้นทางและบ่อเกิดของการกระทำของเรา ดังนั้น เราจึงจำเป็นต้องทำให้ความคิดดีๆอยู่กับเราตลอดเวลาค่ะ เช่น
บอกตัวเองว่าเป็นคนเก่งทุกครั้งที่ทำอะไรสำเร็จ แม้จะเป็นเพียงความสำเร็จเล็กน้อยก็ตาม บอกตัวเองว่าเพื่อนร่วมงานก็เป็นคนดีคนหนึ่งแม้เขาจะมีข้อบกพร่องหลายอย่าง
บอกตัวเองว่าเราโชคดีที่ได้ทำงานยากๆแม้ค่าตอบแทนจะน้อยแต่ก็ทำให้เราได้ประสบการณ์ที่หาไม่ได้ง่ายๆ ฯลฯ สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราเป็นคนมองในแง่บวกได้ดีขึ้นๆ และมีความสุขในชีวิตได้ง่ายมากยิ่งขึ้นค่ะ เพราะจะอยู่กับใครก็ได้ ไม่ถูกขังอยู่ในความคิดที่ทำให้เกิดทุกข์ของตัวเองจนคลื่นความหงุดหงิดกระวนกระวายส่งแผ่ไปทำให้คนอื่นไม่มีความสุขในการอยู่ร่วมกับเราและท้ายที่สุดก็เหงาเพราะพูดทีไรคนรอบข้างหายหมดทุกที
บันไดขั้นที่ 5 : ใช้ประโยชน์จากคำว่าขอบคุณ
เคยมีคำสอนจากอาจารย์เซนท่านหนึ่งกล่าวไว้ว่า เมื่อต้องพบเจอเรื่องร้ายจงยิ้มแล้วกล่าวคำว่าขอบคุณ เพราะนั่นคือบททดสอบที่ดีของการมีชีวิตที่เข้มแข็ง หากมีคนด่าว่าเราการกล่าวคำว่าขอบคุณ แทนที่จะโต้ตอบ จะช่วยลดท่าทีความรุนแรงลงได้เกือบทั้งหมด ทั้งยังทำให้บุคคลนั้นแปลกใจ และอาจกลับไปพิจารณาพฤติกรรมของตัวเองได้โดยที่เราไม่ต้องพูดอะไรสักคำ...หากเราตั้งสติและพินิจพิเคราะห์อุปสรรคต่างๆอย่างมากพอ เราจะรู้สึกขอบคุณต่อข้อขัดข้องเหล่านั้นเช่นเดียวกันค่ะ อย่างน้อยก็ทำให้เราเรียนรู้ที่จะเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น เข้าใจจากความผิดพลาดว่าสิ่งใดไม่ควรทำ (แม้ยังไม่รู้ว่าจะต้องทำอย่างไรจึงจะสำเร็จก็ตาม) และช่วยให้รอบคอบมากขึ้นเพื่อไม่ผิดพลาดซ้ำอีก..
เบิร์ดชอบคำพูดของโธมัส อัลวา เอดิสัน มากเลยค่ะ เค้าเคยบอกกับผู้ช่วยในระหว่างการทดลองประดิษฐ์หลอดไฟฟ้าว่า "เราไม่ได้ล้มเหลวจากการทดลอง 700กว่าครั้งที่ผ่านมา แต่เรากำลังเรียนรู้มากขึ้นเรื่อยๆ อย่างน้อยเราก็รู้แล้วว่า มี 700 วิธีที่ไม่ควรทำ และใกล้จะพบคำตอบแล้ว "... ช่างเป็นการมองเชิงบวกที่สมบูรณ์แบบเสียนี่กระไรนะคะ!
ความผิดพลาด ความไม่พอใจ ความผิดหวังจึงเป็นบันไดขั้นสำคัญในการเรียนรู้ หากรู้จักใช้ประโยชน์ ก็ไม่ถือว่าสูญเปล่าเลยนะคะ การมองโลกในแง่ดี จึงเป็นอีกหนึ่งวิธีคิดเพื่อการใช้ชีวิตที่มีความสุข ที่เริ่มต้นง่ายๆได้จากตัวเรานี่เองค่ะ ^ ^
ตามอ่านบันทึกเธอได้ที่นี่ค่ะ http://gotoknow.org/profile/birdton
บันทึกอื่นๆ
- เก่ากว่า « เริ่มต้นเขียนบันทึก....ได้ยังไง....
- ใหม่กว่า » นัดพบ blogger
ความเห็น
ใช่ค่ะ..ใน Bible ก็สอนไว้ว่า "จงขอบคุณทุกกรณี" เพราะว่าในที่สุดแล้ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็ย่อมส่งผลดีกับเราไม่ทางใดก็ทางหนึ่งค่ะ..
ตะกี้ยังเขียนไม่เสร็จเลย แต่ดันกดพลาดไป จึงต้องเข้ามาเขียนต่อ
เห็นด้วยคะ เพราะทุกสิ่งทุกอย่าง ต่างเป็นประสบการณ์ เป็นบทเรียนแห่งชีวิตทั้งนั้น
@^_^@ ขอให้โลกสงบสุข
15 กุมภาพันธ์ 2551 16:51
#20633
เขามีส่วนเลวบ้างช่างหัวเขา
จงเลือกเอาส่วนที่ดีเขามีอยู่
เป็นประโยชน์โลกบ้างยังน่าดู
ส่วนที่ชั่วอย่าไปรู้ของเขาเลย
จะหาคนมีดีโดยส่วนเดียว
อย่ามัวเที่ยวค้นหาสหายเอย
เหมือนเที่ยวหาหนวดเต่าตายเปล่าเลย
ฝึกให้เคยมองแต่ดีมีคุณจริง.
(มองแต่แง่ดีเถิด : คำสอนของท่านพุทธทาส)