ความเห็น: 2
ทำไม?...ต้องประสานสายตา
พี่ปลา น้อง....ขึ้นมาหาพี่ที่ห้องหน่อยพี่มีอะไรจะคุย
น้องแปม ไม่เอา พี่ลงมาเอง...ใครมีธุระต้องมาหาเองน้องเล่น face อยู่
ดิฉันแว่วๆ จากในครัวเจ้าลูกสาว 2 คนของดิฉันโทรศัพท์คุยกันอีกคนอยู่บนบ้านอีกคนอยู่ข้างล่าง ดิฉันทิ้งหม้อแกงที่กำลังปรุงอยู่ "ปรี๊ดขึ้นมาทันทีแบบยับยั้งไม่ได้"
มาอธิบายแม่เดี๋ยวนี้อยู่ในบ้านทั้งคู่แต่โทรศัพท์หากัน หนูอยู่ในบ้านหนูยังหาเรื่องใช้เงินได้ รู้มั้ยกดโทรศัพท์ครั้งละกี่บาท แล้วรู้ไม่มันใช้ช่องสัญญาณเปลืองพลังงานโลก และอีกอย่างรู้มั้ยโทรศัพท์น่ะมันมีรังสีใช้มากๆ ไม่ดี ที่จริงนั่นแค่เป็นสิ่งที่จับต้องได้ที่แม่ยกขึ้นมา แต่ที่สำคัญกว่าลูกต้องประสานสายตาเวลาคุยกัน ลูกใช้อุปกรณ์สื่อสารมากเกินไป... แล้วนี่ข้างบนบ้านกับข้างล่างหนู Face คุยกันหรือเปล่า
ประจำแม่ แล้วมันก็ไม่แปลกด้วยใครๆก็ทำอย่างนี้ แม่นั่นแหล่ะแปลกสมัยนี้แล้ว
เธอ 2 คนดูไม่รู้ว่าเธอทำอะไรผิดไม่มีท่าว่าจะ get ทำไมแม่จึงโกรธ ก็อุปกรณ์มีไว้ให้สะดวก โทรศัพท์มีไว้โทร... ลูกคุยกับน้อง...ลูกไม่เห็นว่าทำไมแม่ต้องโกรธ
ข้อที่ 1 แม่มองว่าหนูขี้เกียจกระทั่งเดินลงมาข้างล่าง หนูกลับเลือกเสียเงินจ่ายค่าโทร(ซึ่งแม่ต้องจ่าย)
ข้อที่ 2 ลูกจะไม่ประสานสายตากันเลยหรือไงคนนะลูก...มันต้องมีทักษะในการต่อรอง มีภาษากาย มีแววตา ถ้ามีโอกาสลูกต้องใช้ หรือลูกอยากจะเป็นผีดิบ...สื่อสารภาษากายกับใครไม่รู้เรื่อง อ่านภาษาท่าทางใครก็ไม่ออกคุยกันไม่เห็นความสำคัญของการมองหน้ามองตา และสัมผัส
แม่ไปไกลแล้ว......ประสานสายตาคืออะไรเหรอ?
ดิฉันฉุกคิดขึ้นมาได้...
นี่มันยุคสมัยไหนแล้วที่เราจะมาคาดหวังให้เด็กยุคเป็นอย่างยุคเรา พูดตอนนี้ก็ไม่มีหวังจะเข้าใจกันจะกลายเป็นแม่ใช้อารมณ์ ข่มขู่ เพราะอำนาจความเป็นแม่ไปเปล่าๆ ....
เอาหล่ะคราวหลังถ้าอยู่ในบ้านห้ามโทรคุยกันให้เดินลงมาหากัน มายิ้มกันมาต่อรองกัน
เพราะเราจำเป็นต้องฝึกเรียนรู้ท่าทางแววตา ภาษาโต้ตอบ และต้องสัมผัสกันด้วย หัดมองตาเวลาคุยกัน อ่านสายตาคนที่เราคุยด้วยให้เป็น ว่าน้องยอมมั้ย น้องรู้สึกยังไง..พี่รู้สึกยังไง โอเค้?
ข้าวสุกแล้ว....มาจัดโต๊ะข้าวกินกัน รับเปลี่ยนเรื่อง...กลัวลูกรู้สึกว่าเราเกิดคนละยุคคนละสมัยกัน แม่ยังคิดแบบสมัยก่อน...อยู่อีก
เธอคุยกันต่อ..มีบ่นเห็นมั้ยถูกบ่นเลยพี่ปลา ทีหลังอย่าขี้เกียจเดินลงมานิดเดียวเอง..แม่บ่นยาวเลยยยย ยยยยยย
ดิฉันกลับเข้าครัวทำแกงต่อ...ปล่อยให้เธอจัดโต๊ะอาหาร
หลายเรื่องผุดเข้าในห้วงคำนึง ความมุมานะพยายาม สมาธิล้ำลึก การอ่านหนังสือหามรุ่งหามค่่ำเพื่อทะลุทะลวงความไม่้เข้าใจในเนื้อหาบทเรียน
ดูเหมือนเด็กยุคนี้ "เกิดมาก็เป็นคนพิเศษ" แล้วเพราะแต่ละครอบครัวมีลูกน้อยจึงดูแลกันได้ทั่วถึง ดูแลกันตั้งตื่นจนเข้านอน(อย่างดี) เธอจึงรู้สึกตัวว่าตัวเองพิเศษกว่าใครตลอดจะยากลำบากอะไรก็ไม่ทน ทนได้ยาก ขี้เกียจจนไม่คิดว่ากดโทรศัพท์คือเสียเงิน
อะไรๆ ในยุคของเธอดูจะสำเร็จรูปไปหมด...
กิจกรรมการฝีมือที่พวกเธอทำกัน....
ล้วนแพคมาเป็นของสำเร็จรูป ในขณะที่ยุคสมัยของดิฉันจะทำกรอบรูปสักอันก็ต้องไปหาตั้งแต่ กระดานอัด ใบเรื่อย วาดเส้นลงไปแล้วหัดใช้เลื่อยตามขนาดที่เราจะทำเลื่อยให้เป็น ให้ตรงก่อนจึงค่อยมาตกแต่งให้สวยงาม...
ดิฉันเห็นงานชิ้นเดียวกันนี้ในยุคปัจจุบัน....มีขนาดให้เลือก เด็กๆเพียงเอากาวทาๆ แปะๆ ก็เรียบร้อยและตกแต่งตามชอบ ย่นระยะเวลา ย่อขั้นตอนลงมาในขณะที่ความมุมานะพยายาม ความพากเพียร รวมถึงการคาดคะเนว่าจะต้องซื้อไม้อัดขนาดไหน(นั่นคือการคิดวิเคราะห์) การเรียนรู้ที่จะใช้ใบเลื่อยการออกแรงการผ่อนแรง ก็ไม่เกิดหรือหดหายไปเพราะทุกอย่างสำเร็จรูปหมด
ถามว่า...ในเมื่อมีสิ่งของสำเร็จรูปแล้วทำไมต้องเรียกร้องให้ ยากลำบาก ง่ายๆสบายๆไม่ดีกว่าเหรอ....
กระทั่งการส่งลูกเรียนพิเศษ..เราก็ทำโดยหวังผลสำเร็จรูป
โดยหวังว่าสถาบันกวดวิชาทั้งหลายจะชุบลูกเราให้ "พร้อมพิชิตข้อสอบ "สอบเข้าโน่นนี่ได้อย่างที่สังคมเขานิยมกัน ไม่ลงทุนสอนที่จะเอง...เพราะไม่พยายาม..ไม่อดทนที่จะสอนลูกว่าเขาบอดตรงไหน อ่อนตรงไหน แต่กลับยอมเสียเงินเพื่อหวังความสำเร็จ...แบบสำเร็จรูป บางสิ่งที่หายไปคือความเข้าใจ ความถนัดของลูก การรู้จักความสามารถที่แท้จริง ของลูก
เออ...ต่างยุคต่างสมัย
แต่ดิฉันก็จะยังยืนยันเลี้ยง ตามแบบที่เชื่อ สอนวิธีคิด ทักษะ...เรื่องราวตามความเชื่อของดิฉันผู้เป็นแม่..ที่ชื่อว่าจะต้องรับผิดชอบ "ปฏิมากรรมมีหัวใจชิ้นนี้" โดยคาดหวังว่าเธอจะเป็นคนคุณภาพในสังคม ไม่เป็นมลพิษของใครที่จะเข้ามาผูกพันธ์กับเธอ
Other Posts By This Blogger
- Older « ชีวิตเป็นไปตามฝัน
- Newer » ชีวิตที่มีแต่ "ได้ค่ะ"
26 มิถุนายน 2555 09:47
#78100
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่กว่าจะเลี้ยงลูกให้โตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี ต้องผ่านประสบการณ์ต่างๆ มากมาย