ความเห็น: 2
Happy นะ รู้ยัง
Happy นะ รู้ยัง
หน่วยงานเราเป็นหน่วยงานเล็ก ๆ มี บุคลากรอยู่ 11 ชีวิต ปฏิบัติงานที่ใคร ๆ จะกลัว ไม่อยากให้เข้าใกล้ โดยลักษณะงาน ต้องไปตรวจสอบงานของผู้อื่น ว่าปฏิบัติถูกต้อง มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลหรือไม่ วันๆ วุ่นอยู่กับเอกสารและหน้าจอคอมพิวเตอร์ ต้องประสานขอเอกสารเพื่อนำมาตรวจสอบ ต้องอยู่กับเพื่อนร่วมงานที่หลากหลายรูปแบบ ซึ่งต้องใช้ความอดทน ความพยามและเย็นใจมากโขอยู่ทีเดียว
ถามว่า ความสุข ของการทำงานในลักษณะนี้คืออะไร ความเครียดมีหรือไม่ แล้วเราจะจัดการกับสิ่งเหล่านี้อย่างไร บรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมของหน่วยงาน ที่เป็นศูนย์รวมคนที่หลากหลาย ทำให้แต่ละคนมีความคิด ทัศนคติที่แตกต่างกัน การทำงานหรืออยู่ร่วมกันจึงไม่ใช่เรื่องง่าย เป็นความท้าทายอย่างยิ่งยวด
วัฒนธรรมองค์กรเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
วัฒนธรรมเป็นสิ่งกำหนดทัศนคติและพฤติกรรมของคนในหน่วยงานหรือองค์การ ดังที่ คลัคคอน และเคลลี (Kluckhohn and Kelly) เรียกวัฒนธรรมในองค์การว่า เป็นแบบหรือวิถีการดำรงชีวิตที่ทำให้องค์การมีเอกลักษณ์ของตนเองต่างไปจากองค์การอื่น และแบบการดำรงชีวิตนี้สามารถแลกเปลี่ยนกันและกันหรือแพร่กระจายออกไปได้ในหมู่สมาชิกของสังคม โดยที่สมาชิกในสังคมหรือมนุษย์ไม่รู้ตัว โดยมีการเรียนรู้ผ่านกระบวนการขัดเกลาทางสังคม วัฒนธรรมจึงเปรียบเสมือนเป็นกาวหรือหลักที่ยึดองค์การหรือหน่วยงานให้กลมเกลียวไม่แตกสลายลงไป
เป็นดังนี้แล้วเราจึงทำการวิเคราะห์วัฒนธรรมของคนในหน่วยเราแบบเร็วๆ อาศัยประสบการณ์ที่อยู่ร่วมกันมานาน ได้ข้อสรุปว่าบุคลากรในหน่วยงานเรา มีความมุ่งมั่นในการปฏิบัติงาน ซื่อสัตย์ รับผิดชอบ สมัครสมานสมัคคี จริงใจ และมีพฤติกรรม รักอิสระ ไม่ชอบการบังคับ ชอบกิน ชอบเที่ยว รักสวยรักงาม สนุกสนานเฮฮาเสียงดังแบบคนใต้ และไม่ชอบกิจกรรมการแสดง
ด้วยพื้นฐานที่มีอยู่คือ สมัครสมานสมัคคี สนุนสนานเฮฮา ทำให้พวกเรามีมิตรภาพที่ดีต่อกัน ดั่งที่คนใต้ว่า “แหลงภาษาเดียวกัน” อะไรๆ มันก็ง่าย
กิจกรรมดีๆ จึงบังเกิด
ยามเช้าที่ทำงานแต่คนเปิดคอมพิวเตอร์ตาก็อ่านข้อมูลไป คนที่อยากเมาท์ ก็เมาท์กันไป คนฟังก็ทั้งทำงาน ทั้งฟังทั้งเมาท์ สนุกสนานกันทุกวัน ระหว่างวัน ก็มีเรื่องสนุกสนานหยอกล้อพูดคุยกันได้ตลอดทั้งวัน ตามหลัก “คนสำราญงานสำเร็จ” เป็นอะไรที่รู้สึกดี๊ดี มีเอกลักษณ์เป็นของตนเอง ผู้เขียนมองว่าหายากขึ้นทุกวันท่ามกลางกระแสสังคมก้มหน้า เมื่อก่อนนี้ไม่มี social เราก็ก้มหน้าเพราะไม่อยากพูดคุยหรือมองหน้ากัน ผู้เขียนก็มองอีกเช่นกันว่าหากหน่วยงานใดหรือองค์การใดเป็นเช่นนี้กันสักคู่คู่สองคู่แล้วอาการน่าเป็นห่วง
จากพื้นฐานการพูดคุย สนุกสนาน และความชอบที่เหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องการกิน ทำให้เกิดกิจกรรมรวมกลุ่มเฉพาะกิจ นัดไปทานข้าวกลางวัน หรือทานข้าวมื้อเย็น สั่งอาหารมาทาน ทำขนมกินกันเอง ไปเที่ยว ไปออกกำลังกายตีแบตมินตัน ว่ายน้ำ วิ่ง ฟิสเนส มีอยู่กิจกรรมหนึ่งที่ทำมาครบหนึ่งปีแล้วคือการเลี้ยงเค้กวันเกิด เกิดกันทุกเดือน ทำได้ครบปีพวกเราก็ประเมินว่าเราพับโครงการนี้เถอะรู้สึกว่าไม่ค่อยสนุกเพราะซ้ำๆ เดิมๆ ที่สำคัญไม่มีงบประมาณแล้วด้วย ลืมบอกไปว่าหน่วยงานเรามีทั้งคน Gen X และGen Y แต่เราก็อยู่และทำกิจกรรมร่วมกันได้อาจเป็นเพราะเราเปลี่ยนกิจกรรมไปตามสภาพ ตามกระแส มีกิจกรรมที่ไม่ซ้ำหมุนเวียนกันไป ไม่ต้องทำโครงการ ไม่มีหลักการและเหตุผล เพราะความสุขเราสรรสร้างขึ้นเองย่อมอยู่เหนือหลักการและเหตุผลใดๆ ไม่ต้องมีงบประมาณ ไม่ต้องประเมินความพึงพอใจ เพราะจะทำให้ผู้รับผิดชอบไม่พอใจหากผลการประเมินไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง เพิ่มทุกข์เข้ามาอีก เรารู้เราประเมินกันเองด้วยใจเราเอง เพราะพวกเรารู้ดีว่า มิตรภาพที่ดี ความรักความจริงใจต่อกันเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้เรามีความสุขอย่างแท้จริงและยั่งยืน
17 Febuary 2015 18:49
#102001
แค่อ่านก็รู้สึกมีความสุขไปด้วยแล้วค่ะ