ความเห็น: 2
ครอบครัวตัววุ่น .. ตอน.. เมื่อต้องตัดเต้านมทิ้ง
(ความเดิมตอนที่แล้ว...อ่านบันทึก)
ผลจากการปรึกษากันในครอบครัว เสียงส่วนใหญ่ลงมติว่าให้ตัดทิ้งไปซะทั้งสองข้าง ด้วยเหตุผลว่า
- จะได้ไม่ต้องมานั่งกังวลว่าเต้าที่เหลือจะกลับมาเป็นอีกเมื่อไหร่
- จะได้ปล่อยวางเรื่องความสวยความงาม เพราะไม่มีเต้านมอีกข้างไว้ให้ตำตาตำใจ
- จะได้ดำเนินชีวิตไปข้างหน้า โดยทิ้งเรื่องเต้านมอย่างสิ้นเชิง
มีเสียงส่วนน้อยนิด เท่านั้นที่บอกอย่างเบาๆ ว่า อย่าตัดทิ้งเลย ตอนนี้วิวัฒนาการทางแพทย์เค้าดี อีกไม่กี่ปีก็อาจจะรักษาได้ แต่ก็อย่างที่บอก เสียงส่วนใหญ่ก็ชนะเสียงส่วนน้อยนั้นไป ...แต่...หนึ่งเสียงที่พูดออกมานั้น เธอเป็นพยาบาลค่ะ!!!
เมื่อคุณหมอมาตรวจความพร้อมเพื่อการผ่าตัด เราก็ได้บอกคุณหมอไปถึงเจตต์จำนงในการตัดทิ้งทั้งสองข้าง หากเจอว่าอีกข้างเป็นเนื้อร้าย คุณหมอก็หัวเราะเบาๆ แล้วบอกว่า คนใต้ ส่วนใหญ่จะตัดสินใจกันอย่างนี้ ไม่เหมือนคนกรุงเทพฯ ที่เค้าไม่่ค่อยจะตัดกัน
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น หมอก็ไม่มีคำแนะนำอย่างอื่น เพราะหมอบอกแล้วว่าแล้วแต่คนไข้
**************************
ห้าโมงเย็น ครอบครัวเรามากันพร้อมหน้าพร้อมตา กว่า 20 ชีวิต เพื่อเตรียมส่งพี่สาวเข้าห้องผ่าตัด
เกือบหนึ่งทุ่ม เหลือเฉพาะพี่น้องกันจริงๆ ที่ยืนยิ้มกับพี่สาวในห้องผ่าตัดใหญ่ เรามีกันสามคนพี่น้องที่เป็นผู้หญิง มองหน้ากัน ยิ้มให้กัน และกลับเป็นคนป่วยซะเองที่พูดว่า "ไม่เป็นไรหรอก ไม่ใช่เรื่องใหญ่" เราก็พูดไม่ออก ได้แต่พยักหน้า ส่วนพี่ชายอีกสามคน ก็ยืนเก้ๆ กังๆ อยู่ข้างๆ
ในที่สุด ทีมงานหมอก็มาถึง ใส่ชุดสีเขียว ยิ้มมาแต่ไกล เราก็จับมือร่ำลา คนไข้รู้สึกว่าจะกำลังใจดีกว่า กำมือตอบซะแรงเชียว
รอจนกระทั้งทีมพยาบาลเข็นเตียงเข้าไปในห้องผ่าตัดจนลับตา ออกมาให้เขียนเบอร์โทรไว้ติดต่อกับพี่พยาบาลหน้าห้องตั้ง 3 เบอร์
ขึ้นมากินข้าวกันที่ห้องพัก เหมือนวันพบญาติ
สี่ทุ่ม เริ่มกระวนกระวายใจ ว่าทำไมยังไม่ออกมา
ห้าทุ่ม เดินเวียนหน้าห้องผ่าตัดใหญ่ จนจำบอร์ดได้ทุกบอร์ด
ห้าทุ่มสี่สิบห้า ประตูเปิด เรารีบวิ่งกันไปดู
ทำไมคนก่อนหน้านี้ออกมา เค้าเปิดตา พูดคุย แล้วก็ไอได้ด้วย
แต่พี่สาวเรา ทำไมนอนนิ่งๆ มีถังออกซิเจนและสายเสียบอยู่ที่จมูก ประกอบกับมีผ้าคลุมผมอยู่ทำให้ดูแปลกตา ..ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่
ยังไม่ทันถึงห้อง ก็ยับยั้งความอึดอัดใจไม่ไหว เลยถามว่า "พี่คะ พี่สาวหนูเป็นอะไรมากหรือคะ ทำไมยังมีสายออกซิเจน แล้วก็ยังไม่ฟื้นคะ"
เอ่อนะ เราเป็นห่วงแทบตาย แทนที่จะเป็นห่วงเรามั่งว่านั่งคอยอยู่ กลับมาหลับซะนี่ ...
มาถึงห้องพัก พยาบาลก็พยายามเรียกคนไข้ ก็ยังไม่ยอมตื่นอีก พยาบาลเลยถามว่า ป้า ถ้าป้าได้ยิน ให้ป้าบีบมือนะ .....
ได้ผลอ่ะ ป้าบีบมือ (แต่หลับ) ถามว่ารู้สึกเจ็บไหม ถ้าเจ็บมากให้บีบสองครั้ง ถ้าเจ็บไม่มากให้บีบครั้งเดียว ...บีบครั้งเดียว...
หลังจากนั้นประมาณเที่ยงคืน เราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือคนเฝ้า 3 คน (โรงพบาลอนุญาต 2 คน อีก 1 คน จ่ายเพิ่ม 120 บาทต่อคืน)
เช้ามาเราถึงได้มารู้ความจริงว่า การผ่าเต้านมออก ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แค่การตัดทิ้งไปเฉยๆ มันเกี่ยวกับต่อมน้ำเหลือง ใต้รักแร้ เกี่ยวกับการวัดชีพจร และการเจาะเลือดทุกอย่าง
ตอนนี้ แขนข้างที่ตัดเต้านม ไม่สามารถวัดความดัน เจาะเลือด หรือ ตรวจชีพจรได้ และต้องบริหารแขน เพื่อไม่ให้มันฝืด เกิดผังผืด
เรามานั่งมองตากัน เหมือนเด็กทำความผิด สรุปว่า ดีนะที่ไม่ได้ตัดอีกข้างหนึ่งทิ้งไปด้วย นี่แหละ การคิดเพียงง่ายๆ อะไรที่ทำท่าไม่ดีก็จะตัดทิ้งอย่างเดียว มันส่งผลมากมายตามมา
โชคดีที่มันไม่ได้เป็นเนื้อร้าย เราจึงยังเหลือเต้านมอีกข้าง และแขนที่ดีอีกข้างหนึ่งด้วย
หลังจากพักฟื้นอยู่ที่โรงพยาบาล (อันนี้ต้องขอให้เครดิตพยาบาล ตึกเฉลิมพระเกียรติ มอ. หน่อยนะคะ) พยาบาล น่ารักมาก ให้คำแนะนำสำหรับคำถามตลอด พูดจาไพเราะ ยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ดุว่าเลย ที่เรามาอยู่กันวันละหลายๆ คน ใช้ปลั๊กไฟเพื่อต่อโน๊ตบุค วันละ 2-3 เครื่อง มีแต่หยอกล้อว่า คนไข้อยู่ไหนเอ่ย หาไม่เจอ เจอแต่ญาติ .... มันก็ให้ความรู้สึกดีนะคะ เราเครียดเรื่องไม่สบายแล้ว พยาบาลไม่ได้ซ้ำเติมความเครียดมาอีก
อยู่มาจะสองอาทิตย์ หมอบอกว่า พรุ่งนี้น่าจะกลับบ้านได้ หมอมีบางอย่างจะบอก หมอเกริ่นว่า เป็นแค่การบอก ไม่ได้แนะนำ แต่เดี๋ยวไปได้ยินมาจากที่อื่น จะมาว่าหมอไม่บอกอีก....
มียาฉีดชนิดหนึ่งที่เป็นเหมือนวัคซีน จะสามารถการันตีได้ว่าจะไม่เป็นมะเร็งอีก ใน 5 ปีนี้ ซึ่งมะเร็ง ปกติเมื่อทำการรักษาแล้ว อาจจะกลับมาเป็นอีกใน 3-5 ปี แล้วแค่คน แต่บางคนก็ไม่เป็น
วัคซีนตัวนี้ ต้องฉีด 12 เข็ม ราคา 1 ล้านบาท!!!
แต่เนื่องจากพี่สาวเป็นมะเร็งระยะที่สอง การฉีดยาตัวนี้ จะเป็นการป้องกัน ไม่ใช่การรักษา (ถ้าระยะ 3 หรือ 4 เป็นการรักษา) ดังนั้น จึงไม่สามารถใช้สิทธิข้าราชการเบิกได้
เอาละซิ...จบเรื่องนึง ก็มีเรื่องนึงเข้ามาอีก...
ครั้งที่แล้ว ตัดสินใจง่ายไปหน่อย ครั้งนี้ เราจะคิดให้รอบคอบกว่าเดิม (เพราะจำนวนเงินมันเยอะด้วยแหละ...แหะๆๆ)
***********************************

การดูเต้านมตนเอง




การคลำเต้านมด้วยตนเอง









Other Posts By This Blogger
- Older « คลอดแล้วค่ะ ... เธอมาเป็นเชือก
- Newer » You're way too beautiful girl
ความเห็น
![]() |
andy Pausch เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย เป็นนักวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เป็นสามีของภรรยา เป็นพ่อของลูกๆสามคน และเป็นคนไข้โรคมะเร็งที่หมอบอกว่าจะอยู่ได้ประมาณ 3 ถึง 6 เดือน และได้รับคำเชิญชวนให้พูด lecture ที่คนโดยทั่วไปตั้งชื่อว่า last Lecture
การพูดครั้งนี้ไม่ใช่เป็นการพูดเกี่ยวกับโรคมะเร็ง ไม่ใช่การพูดเกี่ยวกับครอบครัวภรรยาและลูกๆ และไม่ใช่เกี่ยวกับจิตวิญญาณหรือศาสนา แต่เป็นการพูดถึงการทำความฝันวัยเด็กให้เป็นจริง และการช่วยเหลือผู้อื่นให้ทำความฝันให้เป็นจริง และบทเรียนที่เรียนรู้มาในชีวิต
วันหยุดว่างๆ เป็นช่วงเวลาดีๆที่ได้ดูเรื่องที่น่าสนใจทางเนต เรื่องของโปรเฟซเซอร์แรนดี้ ได้รับทราบมาบ้าง ว่าเป็นคนมองโลกในแง่ดีมาก เป็นคนที่อยากให้โลกเราดีขึ้น อยากให้คนเราดีขึ้น จนวันนี้มีโอกาสฟังการพูดทั้งหมดเป็นครั้งแรก ดูแล้วก็รู้สึกเลยว่า แรนดี้เป็นคนมองโลกในแง่ดีจริงๆ มีกำลังใจสูงที่ต่อสู้กับกำแพงต่างๆ โดยเฉพาะเมื่อรู้ตัวว่าชีวิตอาจจะหมดไปในไม่กี่เดือนข้างหน้า และรู้เรื่องนี้ก่อนหน้าการเลคเชอร์นี้เพียงเดือนเดียว สำหรับคนที่สามารถรับกับข่าวนั้นและในหนึ่งเดือนออกมาพูดในที่สาธารณะแบบนี้ เก่งจริงๆ
เนื้อหาใจความที่พูดน่าสนใจมาก แต่ฟังไม่ทันทั้งหมด โชคดีที่มีการทำบทบรรยายไว้ สามารถเปิดดูได้ที่นี่ “บทบรรยาย Last Lecture”
Brick walls are there for a reason: they let us prove how badly we want things
กำแพงที่มีอยู่มีเหตุผลที่มีอยู่ เพื่อให้พิสูจน์ว่าความอยากได้มีมากแค่ไหน อืมม์ ในชีวิตพวกเราใครที่เดินไปจะไม่เจอกำแพงกันบ้าง ในระหว่างทางเราเจอคนดีๆที่คอยช่วยให้เราข้ามกำแพง แต่ที่สำคัญตัวเราเองต้องออกแรงปีนข้ามไปด้วย ในเลคเชอร์มีการพูดถึงคนต่างๆที่เข้ามาช่วยเรา และวิธีการที่เราจะได้คนมาช่วยเราเพิ่ม แรนดี้แนะนำไว้สี่ข้อที่จะทำให้คนอื่นช่วยเหลือเรา
• Tell the truth
• Be earnest
• Apologize when you screw up
• Focus on others, not yourself
เป็นหนึ่งชั่วโมงที่คุ้มค่าที่ได้เนื้อหาดีๆ และเห็นคนจริงๆที่เชื่อว่าโลกเราจะดีขึ้นและช่วยเหลือคนอื่นให้เดินไปถึงฝั่งฝัน และที่สำคัญยังเป็นคนที่ไม่ย่อท้อ แม้มาในช่วงที่ลำบากของชีวิต ก็ยังคงประพฤติปฏิบัติ Salute you Randy.
ขอบคุณที่มาของบทความนี้ค่ะ
http://www.youtube.com/watch?v=ji5_MqicxSo
11 June 2008 10:06
#30725